วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

สถานีซ่อกแซ่ก......เดินเที่ยวต๊อกแต๊กไปตามตรอก

ย่ำตรอกบอกเรื่องเก่า





        ชุมชนวัดสังเวชวิศยาราม ตำบลวัดสามจีน  มีหินสามก้อนที่นอนสามอัน  มีต้นโศกเอน  ที่เจ้าเณรนั่งฉัน  นี่คือปริศนาขุมทรัพย์โบราณที่เป็นหลักฐานชี้ชัดว่าชุมนเก่แก่นี้มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา  ก่อนจะค่อยๆเติบโตมาเป็นลำดับ  จากหมู่บ้านชาวสวนกลายมาเป็นชุมชนคึกคัก  มีความโดดเด่นทางด้านคนตรีไทยและศิลปะการแสดง  ชุมชนนี้เป็นแหล่งรวมมหรสพที่มีโรงภาพยนตร์  โรงละคร  โรงลิเก  และบ้านดนตรีไทย  แม้ปัจจุบันจะเหลือเพียงบ้านดุริยประณีตที่ทำหน้าที่สืบสานศิลปะประจำชาติไว้ก็ตาม และถึงจะเป็นเพียงชุมชนเล็กๆที่มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัดแบบชุมชนเก่า  แต่ถือเป็นศูนย์รวมในการทำกิจกรรมต่างๆ






         ชุมชนตรอกเขียนนิวาสน์-ตรอกไก่แจ้ ชื่อตรอกนิวาสน์มาจากชื่อของโรงเรียนที่เคยตั้งอยู่บริเวณชุมชน  ส่วนตรอกไก้แจ้นั้นสันนิษฐานว่าที่มามาจากบ้านของ  พระวิสุนพิเศษ  อธิบดีผู้พิพากษาศาลฎีกา  เป็นบ้านสามชั้นและตั้งอยู่เหนือทิศทางลม  บนหลังคาติดกังหันลมรูปไก่แจ้  ผู้คนจึงพากันเรียกว่าตรอกไก่แจ้กันเรื่อยมา  บริเวณที่เป็นที่ตั้งของชุมชนคือพื้นที่วังของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ  เจ้าฟ้าลา  กรมหลวงจักเจษฎา  ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์  ใกล้ป้อมพระสุเมรุเพื่อระวังภัยข้าศึก  แต่ภายหลังที่ท่านสินพระชนม์  วังได้ถูกทำการรื้อถอนและมีคนเข้ามาถูกคนเข้ามาปลูกบ้านเรือนแทนที่  แม้ปัจจุบันจะเป็นชุมชนแต่ด้วยเพราะกำแพงและประตูวังเก่าที่ยังคงหลงเหลืออยู่และได้มีการตั้งศาลสมเด็จปู่กรมหลวงจักรเจษฎา  ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะจึงทำให้ชาวบ้านมีความหวงแหนชุมชน  แม้จะเป็นเพียงขุมขนเล็กๆแต่ด้วยความรักและศรัทธาในประวัติศาสตร์ที่ล้ำค่าทำให้ทุกคนหวงแหนและรักษาประเพณีเดิมของชุมชน และการบวงสรวงสักการะ  กรมหลวงจักเจษฎา  ด้านการถวายละครรำ  และดูและด้านความสะอาดของชุมชน





     ชุมชนวัดสามพระยา ตั้งแต่สร้างกรุงรัตนโกสินทร์  การขยายตัวของชุมชนมักเริ่มต้นจากวัดหรือวังเช่นเดียวกับวัดบางขุนพรหมที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1  มีผู้คนเข้ามาอาศัย  เพราะนอกจากจะอยู่ใกล้วัดซึ่งเป็นศูนย์รวมชุมชนแล้ว  ยังอยู่ห่างกำแพงเมืองเพียงคลองกั้น  เมื่อวัดได้รับการปฏิสังขรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 2   โดยสามขุนนางระดับเจ้าพระยา  และน้อมเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยโปรดเกล้าฯให้ขึ้นบัญชีเป็นพระอารามหลวงพร้อมพระราชทานนามวัดขึ้นใหม่ว่า วัดสามพระยาวรวิหาร  ชาวชุมชนในย่านนี้จึงเป็นชาวบ้านวัดสามพระยาไปโดยปริยาย  และสร้างคุณค่าของชุมชนผ่านการงานและอาชีพที่โดดเด่น  และกลายเป็นของดีของชุมชน  ทั้งการประกอบอาชีพ  การทำใบลาน  จนทำให้สามพระยากลายเป็นแหล่งขายใบลานที่มีชื่อเสียงของพระนคร  ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยกระดาษ











        ชุมชนวัดใหม่อมตรส วัดใหม่อมตรสเป็นวัดที่สร้างขึ้นตั้งแต่กรุงธนบุรี  แต่ช่วงเวลาที่ผู้คนเข้ามาสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยกันหนาแน่นนั้นสันนิษฐานว่าเป็นช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ที่มีการขยายเมืองทางฝั่งตะวันออก แม้จะไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าชุมชนก่อตั้งขึ้นมาเมื่อใด  แต่การสืบย้อนไปที่บรรพบุรุษก็พบว่ามีตระกูลเก่าแก่ที่อาศัยอยู่ในย่านนี้มามากกว่าหนึ่งร้อยปี  วิถีชีวิตของชุมชนเก่าแก่ที่ก่อตัวและเติบโตโดยอาศัยวัดเป็นศูนย์กลางจึงยังคงเกี่ยงโยงกับประเพณี  ความเชื่อ  และความศรัทธาของผู้คนในชุมชนที่มีต่อวัด ดังนั้นนอกจากการหันมาค้าขายหรือรับจ้าง  ซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนในชุมชน  การทำบุญ ตักบาตร เข้าวัด  กิจกรรมจ่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาก็ยังเป็นสิ่งที่คนในชุมชนยึดถือ
   

         ชุมชนบ้านพานถม ในอดีตชุมชนบ้านพานถม  จากหลักฐานที่ย้อนไปตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์  กลุ่มช่างฝีมือสองสาขาคือช่างทำเครื่องเงินและช่างทำเครื่องถมแดง  ได้รวมกลุ่มกันตั้งภูมิลำเนาอยู่บริเวณวัดปรินายกเกิดเป็นชุมชนที่ชื่อว่า  บ้านพานถม  โดยมีเครื่องเงินและเครื่องถมฝีมือประณีตสลักเสลา  และมีลวดลายวิจิตรบรรจง  เป็นผลิตผลของชุมชนจนเป็นที่เลื่องลือ  โดยเฉพาะขันน้ำรองพานที่จัดเป็นของขวัญที่ดีที่สุด  แต่เมื่อการผลิตด้านอุตสาหกรรมเริ่มเติบโต  มีการใช้สแตนเลสมาใช้ในการทำขัน พาน ถาด และทัพพีลายไทย  ขึ้นแบบด้วยแม่พิมพ์แทนการสลักเสลาด้วยมือทีละชั้น  ทำให้ผลผลิตจำนวนมากมีราคาถูกกว่า  จึงแพร่หลายใช้งานกันในครัวเรือนทั่วไป  งานเครื่องถมและเครื่องเงินจึงค่อยๆเลือนหายไปจากชุมชน  เหลือเพียงร้านเครื่องถมไทยนคร  ที่ยังสืบสานการทำเครื่องถมเงินแบบโบราณเอาไว้





        ชุมชนบวรรังสี จากวัดรังสีที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 การก่อตั้งวัดบวรนิเวศวิหารในสมัยรัชกาลที่ 3   และการยุบรวมวัดรังษีเป็นคณะรังษีขึ้นตรงกับวัดบวรนิเวศในช่วงสมัยรัชกาลที่ 6  คือหลักฐานที่ถูกบันทึกไว้ในงาของศาสนสถาน  ส่วนการก่อตั้งชุมชนหลังวัดมีที่มาไม่แน่ชัด  แต่คำบอกเล่าของคนเก่าแก่ในชุมชนชี้ให้เห็นว่า  ในอดีตคูคลองโยงใยทั่วเมืองและเป็นทางสัญจรหลัก  เส้นทางเดินเท้าค่อนข้างเล็กพอเดินสวนกันได้  พื้นที่เป็นตรอกเล็กที่ประกอบไปด้วยบ้านช่องแขนงต่างๆ  บ้านข้าราชการ และบ้านเหล่าพ่อค้า แม่ค้า  แต่ทุกคนในชุมชนก็สนิทสนมกัน





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น